ฟักทอง ทานแล้วสุขภาพดีต่อร่างกาย

ฟักทอง หรือ Pumpkin เป็นพืชไม้เลื้อย ลำต้นเล็กอวบน้ำเลื้อยไปตามพื้นดินหรือ ตามวัสดุยึดเกาะต่างๆ ใบมีขนาดใหญ่ 5 แฉก มีขนทั่วทั้งใบ และก้าน ส่วนผลนั้นมีขนาดใหญ่ โดยผิวด้านนอกของฝักทองจะเป็นผิวขรุขระ ส่วนด้านในมีเนื้อสีเหลืองทองเป็นจำนวนมาก

เดิมทีมันมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกา และด้วยความนิยมของมันจึงทำให้มันได้แผ่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งฟักทองที่เรารู้จักกันดีจะมี 2 สายพันธุ์คือ ฟักทองพันธุ์อเมริกาจะมีผลใหญ่ เนื้อยุ่ย และตระกูลสควอช ซึ่งได้แก่ฟักทองไทยและฟักทองญี่ปุ่น เนื้อด้านในเป็นสีเหลืองทอง

สรรพคุณของฟักทองนั้นมีมากมาย เพราะมันอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี2 บี3 บี5 บี6วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็ก ซิงค์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคอเลสเตอรอลน้อย และไขมันต่ำอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น Supper food ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดหนึ่ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา บำรุงระบบประสาท บำรุงตับ บำรุงไต สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยชะลอวัย ริ้วรอยแห่งวัย เป็นต้น
2. เปลือกช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน

3. มีไขมันต่ำและ กากใยสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะทำให้อิ่มอยู่ท้องนาน นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยให้ขับถ่ายได้ง่าย
4. ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคร้าย เช่น โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
5. ลดอาการปวดเมื่อยข้อเข่า บั้นเอว และยังช่วยลดอาการอักเสบ ถอนพิษจากแมลง สัตว์ กัด ต่อย
6. ป้องกัน รักษาโรคผิวหนัง
7. ขับปัสสวะ ป้องกันการเกิดโรคนิ่ว รวมทั้งขับพยาธิ
8. ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศชาย

นอกจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ฟักทองยังนิยมนำมาทำเป็นน้ำ อาหาร ขนมหวาน รวมถึงขนมขบเคี้ยวอีกด้วย เนื่องจากเป็นผักที่มีรสชาตอร่อย เนื้อสัมผัสดี อีกทั้งสีสันยังสวยงามชวนให้รับประทานอีกด้วย

อย่างไรก็ตามฟักทองก็เป็นผักที่มีข้อควรระวังในการบริโภคเช่นกัน เนื่องจากมันมีฤทธิ์อุ่น จึงไม่เหมาะกันบุคคลที่มีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก มีแผลในช่องปาก เหงือกบวมเป็นประจำ เป็นต้น และในบุคคลที่ไม่ได้มีอาการดังกล่าวก็ต้องระวังการบริโภคที่มากจนเกินไปอาจจะเกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดได้