กระเทียมไทย ผักสมุนไพรพื้นบ้านคู่ครัวเรือน

กระเทียมไทย หรือ Garlic เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มีหัวอยู่ใต้ดิน โดยลักษณะของหัวจะกลมๆ โดยแต่ละหัวจะมีกลีบอยู่ 5-6 กลีบ และบริเวณของเปลือกหุ้มจะมีแผ่นสีขาวหรือสีม่วงอ่อนบางๆ หุ้มอยู่ ลำต้นมีลักษณะกลมๆ อวบน้ำ เป็นแท่งตรง ซึ่งจะมีกาบใบแต่ละใบห่อหุ้มไว้ ส่วนใบจะเป็นเส้นเรียวยาวไล่สีจากสีขาวบริเวณโคน ไปจนเขียวเข้มที่ปลายใบ ดอกของมันจะมีสีขาว ลักษณะเหมือนกับซี่ร่ม

โดยปกติแล้วเราจะพบกระเทียมไทยอยู่ในอาหารบ่อยๆ เพราะมันเปรียบเสมือนผักคู่ครัวเรือนชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันมีเอกลักษณ์ที่พิเศษอย่างหนึ่งนั่นคือกลิ่นที่หอมฉุน เมื่อนำมาประกอบอาหารก็จะยิ่งทำให้มีกลิ่นหอมและยังช่วยดับกลิ่นคาวในเนื้อสัตว์ต่างๆ ได้ดีอีกด้วย

นอกจากกระเทียมจะมีกลิ่นหอมแล้วนั้น มันยังมีสรรพคุณทางด้านสมุนไพรรสร้อนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมากอีกด้วย ซึ่งมีดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. บำรุงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย อีกทั้งช่วยให้ผิวพรรณดีและแข็งแรง
2. เสริมสร้างภูมิต้านทานและป้องกันการเกิดโรคร้ายเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โลหิตจาง โรคไต และเนื้องอก
3. รักษาโรคร้ายต่างๆ เช่น ความดันโลหิต โลหิตจาง และโรคหลอดเลือด
4. ช่วยในการควบคุมคอลเลสเตอรอลและลดการเกิดไขมันเลว อีกทั้งยังสามารถช่วยลดน้ำหนัก
5. ป้องกันและรักษาอาการไข้หวัด วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ จมูกอักเสบ ไอ น้ำมูกไหล และไซนัส
6. ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
7. ขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยขับของเสียเช่น ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ และช่วยลดกลิ่นปาก
8. ลดและรักษาปัญหาของเส้นผมเช่น ผมบาง ผมหงอก ผมขึ้นช้า
9. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดี ไม่ทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้ เช่น ท้องอืด ท้องผูก อาหารไม่ย่อย อีกทั้งยังรักษาโรคกะเพาะอาหารอีกด้วย
10. ฆ่าเชื้อในระบบทางเดินอาหารและช่วยฆ่าพยาธิ
11. รักษาโรคผิวหนังต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบอีกด้วย
12. ลดและรักษาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ข้ออักเสบ

อย่างไรก็ตามการใช้กระเทียมเพื่อประโยชน์ทางด้านสมุนไพรนั้นก็มีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน โดยควรรับประทานในประมาณที่พอดีไม่มากเกินไปและไม่ควรบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากจะทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดที่ช้าลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลุ่มบุคคลที่ห้ามรับประทานกระเทียมโดยเด็ดขาดนั่นคือ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร และกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด